Reflection:

ปรากฏการณ์ในใจของท่านในการทดลองโค้ชเมื่อเย็น มีการเคลื่อนอย่างไร?

เริ่มต้นเมื่อ เข้าห้องแล้วเงยหน้าเจอโยม เมื่อโยมทั้งคู่ สบตามาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง "นิมนต์ค่ะ นิมนต์ค่ะ" ปรากฏการณ์ในใจ => ใจฟู ดีใจ จากนั้น โยมทั้งคู่ ประนทมือตลอกระหว่างการสนทนา พร้อมทั้งขอคำแนะนำ กริยา ท่าทางระหว่างสนทนา ปรากฏการณ์ในใจ => ดีใจ อิ่มใจ ภูมิใจ โยมตั้งคำถามเรื่องการทำบุญ อุทิศให้กับลูกที่จากไปเมื่อสองปีกว่า ปรากฏการณ์ในใจ => เป็นกลางๆ โยมตอบคำถามที่ย้อนกลับถามโยม ปรากฏการณ์ในใจ => พยายามทำความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ นึกสลับ ว่าถ้าเป็นเรา .... โยม อีกคนคอยเสริม ขยายความที่พระตอบโยม ปรากฏการณ์ในใจ => ดีใจที่ทำให้สองชีวิต เป็นกัลยาณมิตร ช่วยกัน ก่อนจบสนทนา คุณโยมขอพร ปรากฏการณ์ในใจ => ภาคภูมิใจ อิ่มใจ ที่กำลังประกอบกุศล เมื่อจบสนทนา คุณโยมทั้งคู่ ขอบันทึกภาพด้วย ปรากฏการณ์ในใจ =>อิ่มใจ สุขใจ เมื่อถ่ายภาพหมู่จบ โยม ขอติดต่อ จะAdd LINE และ คุณโยมได้ส่ง ข้อความสาธุ และส่งภาพหมู่ให้ ปรากฏการณ์ในใจ => สุขใจ อิ่มใจ เมื่อเห็นแวว ตา กริยาท่าทางของคุณโยม มีความสุขมากขึ้น เห็นพลังงานของคุณโยมยกระดับขึ้น ปรากฏการณ์ในใจ => ดีใจ
ปลดป้ายชื่อออกเพราะอยากให้เขามองหน้ามากกว่ามองป้าย ต้องการให้เขาคุยสบายๆ มากกว่าจะสนใจว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ขณะที่เล่าโยมเขาเหมือนจะร้องไห้ เราเลยเอ๊ะใจว่านี่เรากำลังทำอะไร มันใช่การโค้ชรึเปล่านะ เลยแทรกคำถามชวนเขาคุยเรื่องใหม่ เขาก็เริ่มกลับมาสดใสอีกรอบ เราก็ใจชื้นขึ้น พอเราพูดให้กำลังใจก็รู้สึกว่าเขาภูมิใจ ปลื้มใจ ในงานที่ทำอยู่ รู้ว่างานนั้นมีคุณค่ามากกว่าการทำมาหาเลี้ยงชีพเพราะเป็นไป "เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย" ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สองคนที่เล่านี้แต่หมายถึงผู้ป่วย คนในครอบครัวและญาติของผู้ป่วย ขนาดอาตมาเป็นคนไกลแค่ได้ฟังก็ยังปลื้มใจในงานที่โยมทำ โยม : พระวุทธไปสอนบ่อยๆ พระ : โหหห ดีใจด้วย มีพระดีๆ มีครูเก่งๆ ไปสอน พระวุทธท่านเก่ง ใจดี มีเมตตามากเลยนะ จากนั้นหมดเวลา ตอนไปยืนแถวรอถ่ายรูปโยมก็เทียวหันมาคุยด้วยเรื่อยๆ และถามว่ามาจากที่ไหน พอรู้ว่ามาจาก ตจว. ก็ตกใจและดีใจ ยังไปบ่นๆ ให้ว่าทำไมพระวุทธไม่บอกก่อนว่าพระมาจากหลายที่ 02. ชุมพร
ในช่วงก่อนเริ่มสนทนารู้สึกเขินอายโยมเล็กน้อย และรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองที่เกิดขึ้นมา ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเราไม่ได้มาทำหน้าที่ในการโค้ชเท่านั้นแต่เรามาเป็นเพื่อนฟังเขา ในช่วงเริ่มคุยกับโยม รู้สึกตกใจเพราะโยมเป็นผู้ตั้งคำถามมาก่อน และโยมพี่คุยเก่งและคุยสนุกมาก พยายามเล่าให้ฟังอย่างกระชับที่สุด ในช่วงนี้มีควาทคิดเบื้องหลังที่เข้ามา 2 อย่าง 1 ความคิดที่บอกว่าตั้งถามเรามาโค้ช 2 ร่วมเรียนกับเขาไปเลย ความคิดที่ 1 ที่บอกว่าเรามาโค้ช เกิดขึ้นทำให้รู้กดดันตัวเองให้ตั้งคำถามกับโยมให้ได้แต่ในระหว่างในเราก็ตอบคำถามโยมอยู่ ความคิดที่ 2 ที่บอกตัวเองว่าร่วมเรียนในเป็ยความคิดที่เกิดหลังคุยไปได้สักพักหนึ่งแล้วทำให้ปลดล็อคบางอย่างในใจของเรา ก็เลยเริ่มถามในส่วนที่ตัวเองสนใจจากประเด็นที่โยมได้เล่ามา เรื่องเล่าของโยมทำให้เราได้มองเห็นการทำงานและอุดมการณ์ของโยมพี่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในคือทึ่งในการทำงานและความคิดขึ้นโยมที่ได้เล่ามา
ข้อนข้างกังวลจึงแก้ทางโดยไปฉี่ กลับมาโดนโยมถามก็แอบงง 3 ที พอไหวตัวทันเริ่มมั่นคงเต็มที่ ก็เริ่มถามกลับจัดรูปแบบเวที รับฟังปัญหาที่ทั้งสั้นทั้งยังงง จึงได้ถามกลับแบบก้อปคำเขาตรงๆ ฟังอีกครั้ง แบบไม่ฟังส่ง ๆ เริ่มเข้าใจและรับรู้ได้บางตรง มีความวิ่งไปคิดว่าจะเอายังไง เพราะบนเวทีเป็นเหมือนเรื่องของใจ แต่ถ้าเริ่มคุยอาจจะไปกันใหญ่ สับสนสองทีแล้วจึงตัดสินใจ เขาทุกข์อยู่ตรงหน้าจะเอาอะไรให้เข้าท่า แค่ให้ระบายมันก็ไร้การเยียวยา ไม่หาทางเลือกก็มันก็ไม่ให้ค่า ถามให้จบไปก็ไม่ได้ไหมว้า จากไม่มั่นคงจึงเริ่มมาซื่อตรง เสียงที่ไม่ได้ยินก็ได้ยินแบบมั่นคง ก่อนหน้าหนีปล่อยให้เวลาทำหลง ไม่สนใจละขออยู่กับเขาแบบสมพงษ์ รวบรวมความกล้าสะท้อนความรู้สึกที่ได้ยิน เพราะว่ายังไงมันก็คือความจริง แกล้งปล่อยให้จบเรามันพระผีสิง ขอแตะหัวใจที่อ่อนไหวในความจริง เวลาผ่านไปพร้อมกับคำชมใต้ดวงตา เขาได้คำตอบก็พอดีหมดเวลา จึงปิดวงนี้แล้วไปต่อดีกว่า ด้วยการอยู่ด้วยกันพร้อมกับภาวนา ส่งความรัก ส่งความหวัง ส่งพลัง ขอให้เธอไปต่อในทางที่เธอจริงจัง แม้เลือกทางเจ็บแต่เลือกด้วยความหวัง ก็ขอเชื่อในตัวเธอแล้วออกจากภวัง
ปรากฏการณ์ในใจความกตัญญูสามารถเคลื่อนไหวได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ โดยทั่วไปแล้ว ความกตัญญูจะเริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงสิ่งที่มีคุณค่าหรือดีงามในชีวิตของเรา สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราคิดถึงผู้คน สิ่งของ หรือประสบการณ์ที่เรารู้สึกขอบคุณ เมื่อเราตระหนักถึงความกตัญญูของเราแล้ว มันจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเชิงบวก เช่น ความสุข ความพึงพอใจ และความรัก ความกตัญญูยังสามารถกระตุ้นให้เราต้องการตอบแทนคนที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณ สิ่งนี้อาจทำได้โดยการให้ความช่วยเหลือ การแสดงความชื่นชม หรือเพียงแค่ใช้เวลากับพวกเขา ปรากฏการณ์ในใจความกตัญญูสามารถเคลื่อนไหวได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น: (1)ความกตัญญูสามารถทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของเรา มันจะทำให้เรารู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่เรามีและทำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น ความกตัญญูสามารถช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลและทำให้จิตใจสงบลง (2)ความกตัญญูสามารถทำให้เรามีแรงบันดาลใจและมุ่งมั่น ความกตัญญูสามารถทำให้เรานึกถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเรา ซึ่งสามารถช่วยให้เรามุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจให้เราใช้ชีวิตให้ดีที่สุด (3)ความกตัญญูสามารถทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น เมื่อเราแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้อื่น มันจะสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงและเคารพซึ่งกันและกัน สิ่งนี้สามารถช่วยให้ความสัมพันธ์ของเราแข็งแรงขึ้นและทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยรวมแล้ว ความกตัญญูเป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังในจิตใจของเรา มันสามารถทำให้เรารู้สึกดีขึ้น บรรลุเป้าหมาย และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น
กังวล ตื่นเต้น พอได้เริ่มสนทนาก็เริ่มดีขึ้น เมื่อคุยกันไปสักพัก เริ่มรับรู้ความตั้งใจในการทำงานของโยมทั้งสองคน ช่วงเวลาที่โยมเล่าถึงเคสที่ได้ทำมารู้สึกเห็นใจ ทั้งผู้ป่วย ทั้งผู้ดูแล เมื่อโยมเล่าถึงตอนทีผู้ป่วยที่เคยดูแลเสียชีวิต สังเกตุเห็นความภูมิใจในการทำหน้าที่โดยไม่บกพร่องจนวาระสุดท้าย และผู้ป่วยจากไปด้วยอาการสงบไม่ทรมาน โยมเล่าถึงวิธีการทำงานได้อย่างละเอียดรู้สึกทึ่งในการเอาใจใส่ผู้อื่นของโยมทั้งสองคน รู้สึกว่าอยากใ้ห้มีคนแบบนี้เยอะๆ อยากให้กำลังใจ ชื่นชมในความเสียสละ
มีความรู้สึกตื่นเต้นกังวนใจบ้าง และผสมผสานความตื่นตัว ตื่นรู้ รู้สึกมีความสนใจใคร่รู้ อยากจะมีส่วนช่วยเขาไม่ว่าจะได้มากน้อยแค่ไหนตามตามสติกำลังความสามารถและประสบการณ์ แต่พอเจอกับสถานการณ์ที่เกินจะรับมือได้ไหว หรือยากที่จะไปต่อได้ ความกังวนภายในใจกลับทวีความพุ่งพล่านมากขึ้น จนบางครั้งครุ่นคิดคำพูดที่จะใช้ในการสื่อสารกับเขาไม่ออกเลย หยุดเงียบไปชั่วระยะเวลา 1-2 นาที เลยทีเดียว ทำให้มองตนเองว่ายังอ่อนด้อยต่อประสบการณ์นี้นัก ภายในใจก็พยายามร้องขอให้สัญญาณเสียงดังขึ้น เพื่อโปรดช่วยให้ยุติบทบทการสนทนานี้ทีเถิด ความรู้สึกอึดอัดใจมีเกิดขึ้นจนเกือบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่
งง ที่มี2 คน จะคุยอย่างไร พอเจอว่าโยมมีความสุข ปั่นป่วน ใจแข็งๆ ภายในจะไปไงต่อ นึกถึงว่า อ .วุท ให้คุยรับฟัง เลยตั้งสติ ใจเลยนิ่ง กลับมารับฟังคนตรงหน้าและ ใส่ใจ เต็มที่ น้ำป่าไหลมา จนจะหมด เราเห็นภาพ ว่าแขนของโยมทั้งสองข้างโอบกอดคนของฉัน มันใหญ่มากเลย บอกโยมไป โยมยิ้มกว้างตาโต ประเด็นทุกข์ใจ โผล่มา เรื่อง คนในทีมลดลง อยากได้คนทำงานเพิ่ม ได้ยินเสียงระฆัง กังวลจะลงยังไง ถามความรุ้สึก ไป ขอบคุณ
2. ปรากฏการณ์ในใจของท่าน ( Inner Voice ) ในการทดลองโค้ชเมื่อเย็น มีการเคลื่อนอย่างไร รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกถึงการวางแผนจากการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับ Coachy ก่อนเริ่มต้นสนทนา รู้สึกตระหนักรู้ของตนเอง ให้มีสติตลอดการสนทนา และ สร้างคำพูด/คำถามทึ่เป็น Positive รู้สึกลุ้นระหว่างรอ Coachy ตอบ รู้สึกตระหนักรู้ของตนเอง ให้รู้จักการรอคอย ระหว่างที่ Coachy เงียบ/ครุ่นคิดหาคำตอบ รู้สึกตื่นเต้นในคำตอบ รู้สึกประหลาดใจในคำตอบ .
ในขณะที่ได้รับฟัง เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียง โยมเล่าว่าบางครั้งผู้ป่วยนอนทับอุจจาระปัสสาวะเนื้อตัวเลอะเทอะทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่โยมบอกว่าไม่รู้สึกรังเกียจอะไร? เพราะมีความคิดว่าทำาให้แก่ญาติผู้ใหญ่หรือผู้มีพระคุณ อาตมาได้ฟังแล้วจิตใจอึ้งไปเล็กน้อยแล้วก็ย้อนกลับมานิ่งๆ คิดในใจว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐหาได้ยากในโลกนี้ ขนาดลูกหลานทำาแบบนี้ให้กับบุพการีพระพุทธเจ้ายังยกย่องว่ากตัญญูกตเวที เป็นบุคคลที่หาได้ยาก แต่โยมทั้ง3 ไม่ใช่ญาติแต่ทำาด้วยจิตอาสา จึงน่าสรรเสริญ น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง จบแล้วครับ สาธุ
เหมือนไม่ใช่การโค้ชแต่เป็นการรับฟังมากกว่า และเป็นการรับฟังที่ทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมด้วย ใจตอนแรกตื่นเต้นเพราะกลัวตัวเองจะไปทำร้ายเขา แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยการตั้งเจตนาอันเป็นกุศลตั้งแต่แรกว่า เราก็รักสุขเกลียดทุกข์ ขอให้คนที่เราคุยได้มีความสุขพ้นจากความทุกข์ นี่คือเป้าหมายของเราด้วย ขอแค่เพียงเขาคุยกับเราแล้วมีความสุขก็พอ เมื่อตั้งเจตนาเช่นนั้นแล้วก็เข้าไปหาเขาด้วยความตั้งใจ ชวนเขาพูดคุยด้วยความเป็นกัลยาณมิตร รับฟังอย่างตั้งใจ อยากให้เขาได้พรั่งพรูความรู้สึกใดๆออกมา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ ให้เขาได้ระบายเหมือนที่เขาโอบอุ้มคนอื่นแบบนี้เช่นเดียวกัน เขาบอกตอนสุกท้ายว่า เมื่อได้ระบายอะไรออกมาแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีเหมือนกัน ทำให้เรา สะท้อนคำตอบนี้ไปหาเขาว่า โยมคนอื่นที่ได้พูดคุยกับคุณโยมก็คงมีความสุขแบบนี้ละเนาะ โชคดีจัง พอผลสุดท้ายผมก็มีความสุขที่เขาเล่าไปยิ้มไป
ตอนแรกที่เริ่มคุยมีความรู้สึกธรรมดา เพราะไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเป็นการโค้ชหรืออะไร เพียงแค่มีเรื่องอะไรปรากฎก็พร้อมที่จะร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปด้วยกัน เริ่มรู้สึกอิ่มใจเมื่อตอนได้ฟังโยมเล่าเกี่ยวกับหน้าที่ อสม ที่โยมได้ทำ เกิดความรู้สึกประทับใจว่าดีจังเลยที่โลกนี้ยังมีคนที่รู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อผู้อื่น แต่ระหว่างคุยก็มีความรู้สึกลำบากอยู่บ้างเพราะตัวเองเป็นคนที่หูไม่ค่อยดีและในห้องมีเสียงดังทำให้ต้องใช้ความพยายามในการฟังมาก แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกหงุดหงิดเพียงแค่รู้สึกต้องใช้พลังในการจดจ่อกับสิ่งที่โยมเล่าให้เราฟัง ในช่วงที่เริ่มมีประเด็นให้พูดคุยแลกเปลี่ยนตัวเองก็ได้ประเมินในใจว่ายังพอมีเวลาให้ได้พูดคุยหรือไม่ พอประเมินแล้วเวลาไม่น่าจะพอที่จะใช้ในการพูดคุยได้ก็เลยคิดว่าไม่เปิดประเด็นคำถามออกไปดีกว่า ก็มีความรู้สึกเสียดายนิดๆที่ไม่ได้ลองทำหน้าที่โค้ชแบบเต็มรูปแบบ แต่ก็พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะก็รู้สึกว่ามันก็สบายใจดีที่เราไม่ต้องพยายามโค้ชเรื่องราวอะไร และก็พอใจที่ตัวเองได้ทำหน้าที่รับฟังโยมอย่างดีที่สุด
หัวใจเคลื่อนไปด้วยความรู้สึกที่ดี ปิติ เบิกบานในจิตใจ และเห็นคุณค่าของบุญกุศลที่ได้สั่งสมมาของตัวคุณโยมสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่จะปวารณาทำดีต่อไปด้วยการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการเป็นเจ้าหน้าที่ อสม.เพื่อประโยชน์และความสุขที่ๆด้เสียสละช่วงบั้นปลายชีวิตแก่ตัวเขาและหน้าที่ๆเขาได้รับต่อไปๆ /#Keywords = รอดตายเพราะผลบุญ
รู้สึกเห็นใจ หดหู่ สัมผัสได้ถึงความเศร้าในใจ เหมือนน้ำที่ถูกโยนหินใส่ทำให้เกิดคลื่นอยูตลอดเวลา หลังจากได้รับการโค๊ช รู้สึกโล่ง ปลอดโปร่ง สงบใจ สัมผัสถึงความคลายทุกข์ เห็นประกายแห่งความหวัง
1. ความรู้สึก : ความกังวล(ของโค้ช) : เวลา คำถาม. ตั้งใจมากไป 2. อื่นๆ : รับรู้ภาวะของโค้ช : ไม่ได้ดำรงอยู่กับคู่สนทนาเล็กน้อย ผ่านความกังวลด้านเวลาและคำถาม ส่งผลให้ไม่ได้ดำรงอยู่กับคู่สนทนาอย่างเเนบสนิท แต่เป็นการนำเล็กน้อย