งานเขียนนี้ คือ บันทึกการเรียนรู้ของ ดร. ธีรัญญ์ ไพโรจน์อังสุธร เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ที่ได้เข้าร่วมเรียนรู้ใน Session ที่ 4 ของโปรแกรม IDG Ambassador กับ Fredrik Lindencrona, IDG Head of Research Cocreation สาระสำคัญใน Session นี้ มุ่งเน้นไปที่วิธีการสร้างสรรค์ร่วมกัน (co-creation) ในการวิจัย Inner Development Guide (IDG) ฉบับใหม่ รวมถึงรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลง และขอบเขตของการทำงานทั่วโลก สรุปได้ ดังนี้
1. แนวทางการวิจัยและการสร้างสรรค์ร่วมกัน (Research and Co-creation)
- วัตถุประสงค์หลักของการทำงานนี้คือการใช้วิธีการสร้างสรรค์ร่วมกันในการวิจัย (Research Co-creation approaches) โดยพยายามผสานมุมมอง ประสบการณ์ และชุดความรู้ที่แตกต่างกันเข้าด้วยกัน
- ขนาดของโครงการ: กระบวนการพัฒนาคู่มือฉบับใหม่ใช้เวลาประมาณสองปีเข้าสู่ปีที่สาม และได้รับข้อมูลจากผู้คน 21,900 คนในการสำรวจ มีผู้คนประมาณ 1,500 คนอยู่ในกลุ่ม LinkedIn สำหรับการสร้างสรรค์ร่วมกันในการวิจัย
- ในช่วงที่มีการทำงานสูงสุด มีทีมหลักประมาณ 25 ทีม และมีผู้ที่ทำงานเต็มที่จริง ๆ 90 คน มีผู้ที่ใช้เวลาทำงานมากกว่าหนึ่งสัปดาห์อย่างน้อย 150 คน โดยรวมแล้ว มีการทุ่มเทเวลาเทียบเท่ากับการทำงานเต็มเวลาประมาณสี่ปี (Full-Time Equivalent - FTE)
- การวิเคราะห์ข้อมูล: ทีมงานได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในภาษาต่าง ๆ มากกว่า 40 ภาษา โดยมีทีมงาน 150 คน ชุดข้อมูลประกอบด้วยคำศัพท์เกือบ 1 ล้านคำ จาก 21,000 คน ใน 194 ประเทศ และมีการใช้ซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับ AI เพื่อจัดระบบการตีความข้อมูลนี้
2. ขอบเขตทั่วโลกและความพยายามในการรวมกลุ่ม (Global Scope and Inclusivity)
- มีความชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มว่าการพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาด้านในเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างมีความหมายนั้น ต้องมีมุมมองระดับโลก (global lens)
- คู่มือหรือแนวทาง (Inner Development Guide) นี้ได้รับข้อเสนอแนะและภูมิปัญญาจาก 190 ประเทศ (โดยพื้นฐานคือทุกประเทศทั่วโลก)
- มีการจัดตั้งทีมงาน 19 ทีมทั่วโลก ซึ่งรวมถึงทีมในอินเดีย, โอเชียเนีย, ลาตินอเมริกา (บราซิลและส่วนที่ใช้ภาษาสเปน), ยุโรป, อเมริกาเหนือ และแอฟริกาใต้สะฮารา
- ความท้าทายด้านความหลากหลายและการเข้าถึงกลุ่มคน: โครงการตระหนักว่าต้องทำได้ดีขึ้นในการรับฟังความเข้าใจและแนวทางจากส่วนอื่น ๆ ของโลก
- สำหรับชุมชนพื้นเมือง (indigenous communities) นักวิจัยยอมรับว่าวิธีการที่ใช้ (เช่น รูปแบบดิจิทัล) ไม่ได้เหมาะสมทางวัฒนธรรมเสมอไป และพวกเขาไม่สามารถรวบรวมเสียงของชนพื้นเมืองได้มากเท่าที่ต้องการ แต่ตั้งใจที่จะสำรวจว่าคู่มือนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไรจากมุมมองของชนพื้นเมืองต่อไป
3. การเปลี่ยนแปลงใน Inner Development Guide (IDG) ฉบับใหม่
- ชื่อเรียก: สิ่งที่เคยเรียกว่า 'framework' ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Inner Development Guide (IDG) แต่ชื่อองค์กรยังคงเป็น Inner Development Goals
- โครงสร้าง: คู่มือนี้มี 5 มิติ (Dimensions) และ 25 ทักษะ (Skills) (เพิ่มขึ้นจาก 23 ทักษะ) โดยมีการลดจำนวนคำจากเกือบ 1 ล้านคำเหลือเพียง 405 คำสำหรับชื่อทักษะ คำอธิบาย และไอคอน
มิติ (Dimensions) และทักษะที่สำคัญ:
- มิติใหม่: ชื่อของมิติถูกเปลี่ยนเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น "Cultivating your inner life" (การบ่มเพาะชีวิตด้านใน) และ "Understanding our complex world" (การทำความเข้าใจโลกที่ซับซ้อนของเรา)
- ทักษะที่ถูกปรับปรุง/เพิ่มเติม:
- Systems Thinking (การคิดเชิงระบบ): เปลี่ยนมาจาก 'complexity awareness' เนื่องจากข้อมูลทั่วโลกให้ความสำคัญสูงมาก
- Forgiveness (การให้อภัย): เป็นทักษะใหม่ในมิติ "Relating" ซึ่งมาจากบทสนทนาจากประเทศที่ประสบปัญหาความขัดแย้งภายในหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (เช่น รวันดา, โคลอมเบีย) แม้ว่าความรับผิดชอบ (accountability) จะไม่ได้เป็นทักษะแยก แต่ก็มีอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของคู่มือ/แนวทาง
- Proactivity (การริเริ่มเชิงรุก): เป็นทักษะใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในมิติ "Acting" เนื่องจากข้อมูลทั่วโลกเห็นว่าทักษะนี้จำเป็นและขาดหายไปจากฉบับแรก
- Resilience (การฟื้นคืนพลัง): เปลี่ยนชื่อมาจาก 'perseverance' เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกเข้าใจได้ง่ายขึ้น
- Trust (ความไว้วางใจ): ยังคงมีความสำคัญอย่างชัดเจน แต่ถูกรวมอยู่ในทักษะที่ครอบคลุมกว้างขึ้นในมิติ "Relating"
- ความแตกต่างระหว่างมิติ: มิติ "Being," "Thinking," และ "Relating" มักถูกมองว่าเป็นปรากฏการณ์เชิงจิตวิทยาภายใน (intracychological) ในขณะที่มิติ "Collaborating" และ "Acting" เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal) เมื่อมีการกระทำระหว่างผู้คน
4. การแปลและการอนุญาตให้ใช้ (Translations and Licensing)
- การใช้งาน: คู่มือนี้เป็น "free for use" (ใช้งานได้ฟรี) และเป็นโอเพนซอร์ส (open source)
- ข้อจำกัด: ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการออกแบบและคำศัพท์ของคู่มือได้
- สถานะการแปล: ปัจจุบันมีฉบับแปลที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว เก้าภาษา (รวมถึง ภาษาอาหรับ, โปรตุเกสแบบบราซิล, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, สวีเดน, ตุรกี, และโชนา)
- กระบวนการแปล: การแปลต้องได้รับการอนุมัติจากส่วนกลางโดยทีมวิจัย เพื่อให้มั่นใจในรายละเอียดและความถูกต้องตามข้อมูลที่ใช้ในการสร้างคู่มือ
5. การทำงานด้านอื่น ๆ และมุมมองเยาวชน
- งานนี้ยังดำเนินการในชุมชนปฏิบัติ (communities of practice) ตามหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษา, อุดมศึกษา, ความเป็นผู้นำและองค์กรยุคใหม่, พื้นที่เล่น (playspace เช่น การวางผังเมือง, สถาปัตยกรรม), และสังคมที่ครอบคลุม (Inclusive societies)
- มุมมองเยาวชน (Youth Perspective): มีความมุ่งมั่นที่จะเริ่มทำงานเกี่ยวกับการจัดตั้งและทำงานร่วมกับคนหนุ่มสาว โดยเน้นให้เยาวชนเป็นแกนนำและความเป็นผู้นำ ผู้บรรยายมองว่าประเด็นนี้เป็นหนึ่งในความสนใจหลักส่วนตัว
โดยก่อนเริ่มต้น Session นี้ ได้มีการกระบวนการ Check-in ให้ทุกคนเริ่มต้นด้วยการปิดกล้อง และฟังคำถาม ถ้าคำตอบคือ ใช่ ก็ให้เปิดกล้อง โดยการเปิดกล้องในที่นี้ เทียบเท่ากับการยกมือขึ้นในห้องประชุม โดยคำถามที่ใช้กลไกการเปิดกล้องเพื่อสำรวจกลุ่มผู้เข้าร่วม (exploration of this group) มีดังต่อไปนี้:
- ถ้าคุณเป็นที่ปรึกษา (consultant)
- ใครที่ระบุว่าตนเองเป็นผู้จัดการ (manager) หรือเป็นผู้นำ (leader)
- ใครที่กล่าวว่าตนเองเป็นผู้สร้างสรรค์ร่วม (co-creator) ในสิ่งที่มีความหมาย
- ใครที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในบริบทสาธารณะ (public context) เช่น องค์กรสาธารณะ รัฐบาล หรือชุมชนบางประเภท (ซึ่งรวมถึงผู้ที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาในภาครัฐด้วย)
- ใครที่อยู่ในภาคเอกชน (private sector) ไม่ว่าจะถูกว่าจ้าง ทำงาน หรือมีบทบาทในฐานะที่ปรึกษา ผู้จัดการ หรืออื่น ๆ ในภาคเอกชน
- ใครที่มีส่วนร่วมในภาคประชาสังคม (civil society) หรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ไม่ว่าจะถูกว่าจ้างหรือสนับสนุนความพยายามในการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเหล่านั้น (รวมถึงผู้บรรยายที่กล่าวว่า IDGS ก็อาจถือเป็น NGO หนึ่งที่ตนเองมีส่วนร่วม)
- ใครที่มีส่วนร่วมในภาคศิลปะ (art sector) ในทางใดทางหนึ่ง
- ใครที่ทำงานร่วมกับเยาวชน (youth) ในทางใดทางหนึ่ง
นอกจากคำถามที่ให้เปิดกล้องแล้ว ยังมีคำถามสุดท้ายที่ถามโดย Frederick ซึ่งใช้การ ยกมือ (raise your hand) แทนการเปิดกล้อง/ปิดกล้อง นั่นคือ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษา (academia) หรือการศึกษาระดับสูง (higher education) ในทางใดทางหนึ่ง
และช่วงปิดท้ายของ Session นี้ เราได้เข้ากลุ่มย่อยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ การทำงานร่วมกัน (Collaborating) สรุปประเด็นสำคัญและสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ ๆ ดังนี้
1. ขอบเขตของการทำงานร่วมกันที่กว้างขึ้น (Broader Scope of Collaboration)
- มีการเรียนรู้ว่าการทำงานร่วมกันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระหว่างผู้คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การทำงานร่วมกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (collaboration with nature and all living things) ด้วย
- ผู้เข้าร่วมบางคนตระหนักว่าคนอื่น ๆ มีคำถามที่แตกต่างออกไปจากที่ตนเองมี ไม่ใช่แค่คำตอบเท่านั้น แต่ยังมีความสงสัยที่แตกต่างกันด้วย
2. ความซับซ้อนและข้อจำกัดของการทำงานร่วมกัน (Complexity and Limitations)
- มีการตระหนักรู้ว่าการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ยาวิเศษ (silver bullet) สำหรับทุกสิ่ง
- มีบางสถานการณ์ที่การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม (inappropriate)
- จำเป็นต้องมีการโอบรับ (embrace) ทั้ง การทำงานร่วมกัน และ ความเป็นปัจเจกบุคคล (individualism)
3. การรับมือกับความตึงเครียดและอารมณ์ (Handling Tension and Emotions)
- มีการพูดคุยกันถึงวิธีการจัดการกับ ความตึงเครียด (tension) และ การกระทำที่รุนแรงอย่างละเอียดอ่อน (subtle acts of violence) ในการสื่อสาร
- มีการพูดคุยถึงวิธีการจัดการกับภาระงาน (workload) และการเลือกปฏิบัติที่ละเอียดอ่อน (subtle discrimination)
- มีการตระหนักว่าหากต้องการคำนึงถึงประสบการณ์ของมนุษย์ทั้งหมด (the whole human experience) ในการประชุม จำเป็นต้องมี กรอบการประชุมที่แตกต่างออกไปมาก เพื่อให้ประสบการณ์ของทุกคนเป็นไปได้
- มีการหยอกล้อเล็กน้อยว่าผู้คนอาจกลัวการประชุมแบบนี้ เพราะจะทำให้พวกเขาถูกเปิดเผย (exposed) ว่า "ฉันเป็นมนุษย์และฉันมีความรู้สึก" และไม่สามารถซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเนื้อหาการทำงานร่วมกันได้
- ผู้เข้าร่วมตระหนักว่าบางวันเราอาจไม่อยากเปิดเผยตนเอง (expose ourselves) และไม่อยากเปิดเผยความเปราะบาง (vulnerable) และบางวันเราก็อยากทำ ดังนั้น การ ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะนั้น และการ จัดเตรียมเวที (setting the stage) จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเปิดใจ
4. บทบาทของการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness)
- มีการพูดถึง ระดับการตระหนักรู้ในตนเอง (levels of awareness of self) ที่แตกต่างกันภายในกลุ่มการทำงานร่วมกัน และการที่สิ่งนี้เปลี่ยนพลวัตของกลุ่ม (changes dynamics)
- มีการตระหนักว่าคำถามของตนเองเกี่ยวกับ "สิ่งที่โฟกัสเมื่อทำงานร่วมกัน" ได้ถูกตั้งคำถามใหม่เป็น "คุณโฟกัสตนเองอย่างไร" (how do you focus yourself on) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมุมมองที่น่าสนใจ
5. การเปิดพื้นที่และการตั้งคำถาม (Opening Space and Questioning)
- ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากการ ถามคำถาม (asking questions) และคิดว่าจะต้องทำมากขึ้น
- การตั้งคำถามช่วยเปิดใจ (opening our minds)
- การ เปิดพื้นที่ และการมี ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับฟังมุมมองที่แตกต่างกันในระดับนานาชาติ
Please share your reflections in the chat.
- What key insight or takeaway from the article resonated most with you, and why?
- What new question or curiosity has emerged for you after reading it?